Referral Marketing หรือ การตลาดแบบบอกต่อ การตลาดรูปแบบนี้อาจจะดูเรียบง่ายนะคะ แต่ถ้ามองลึกลงไปอีกมันทรงพลังอย่างมากค่ะ โดยการทำการตลาดแบบนี้มีแนวคิดเล็กๆ ที่ว่า เมื่อลูกค้าชื่นชอบในสินค้าและบริการของเรา แล้วลูกค้าเกิดอยากบอกต่อสินค้าและบริการดีๆ ของเราให้เป็นที่รู้จัก ทั้งแนะนำให้กับคนรอบตัว แนะนำเพื่อน หรือแนะนำครอบครัว ซึ่งการบอกต่อระหว่างทางตรงนี้นี่แหละค่ะที่ทำให้ได้รับผลลัพธ์ที่ดีมาก

ผลลัพธ์ที่ดีมากเป็นอย่างไร? หลายคนอาจยังสงสัย ผลลัพธ์ที่เราบอกก็คือ ทั้งธุรกิจของเราและลูกค้าของเราจะ Win ทั้งสองฝ่าย นั่นเองค่ะ
สำหรับฝั่งลูกค้าของเรา: สิ่งตอบแทนนั้นเป็นได้มากมายหลายอย่าง ไม่ว่าจะเป็นส่วนลดเพิ่มเติม ของขวัญเล็กๆ น้อยๆ บัตรสมนาคุณต่างๆ หรือแม้แต่เงินก็ใช่นะคะ
สำหรับฝั่งธุรกิจของเรา: แน่นอนค่ะว่าการทำการตลาดบอกต่อโดยที่ลูกค้าของเรานำสิ่งดีๆ จากการบริการของเราหรือสินค้าของเราไปบอกต่อคนรอบข้าง นั่นย่อมทำให้เกิดผลดีต่อธุรกิจของเราอยู่แล้ว แต่ที่สำคัญนะคะคือเรายังได้ connection ดีๆ กับลูกค้าของเราอีกนั่นเองค่ะ

ซึ่ง Referral Marketing ก็นับได้ว่าเป็นการทำการตลาดที่น่าสนใจอย่างมากเลยค่ะ เพราะถือว่าเป็นระบบการทำการตลาดโดยอาศัยการสร้างสายสัมพันธ์ที่ดี ความไว้วางใจซึ่งกันและกัน ที่มากกว่าการคิดขาย ควบคู่ไปกับการสื่อสารอย่างมีประสิทธิภาพสู่ผลลัพธ์ที่มีประโยชน์ร่วมกัน

แล้วธุรกิจประเภทใดบ้างที่จำเป็นต้องใช้การแนะนำบอกต่ออย่างยิ่ง เรามาดูกันค่ะ

1. ธุรกิจที่ทำทุกอย่างด้วยตัวเองคนเดียว
การทำทุกอย่างด้วยตัวเองต้องใช้ทั้งเวลาและแรงของเราอย่างมาก จึงเป็นเรื่องที่น่าหนักใจยิ่ง เพราะถ้าเกิดเราบริหารเวลาไม่ดี บริหารเงินไม่ได้ ไม่มีทีมซัพพอร์ตในเรื่องการตลาดก็อาจจะส่งผลเสียต่อธุรกิจเราได้ค่ะ

2. ธุรกิจที่มีการแข่งขันสูง
ในปัจจุบันธุรกิจเหมือนกันผุดขึ้นเป็นดอกเห็ด ยิ่งถ้าสินค้าหรือบริการเราดี แต่การตลาดเรากลับด้อยกว่าธุรกิจคนอื่น ก็อาจจะพลอยเป็นเรื่องที่ทำให้เราต้องกังวลได้ ดังนั้นการแนะนำบอกต่อจะช่วยเสริมสร้างความไว้วางใจ อาจช่วยชี้ให้เห็นจุดเด่นที่แตกต่าง หรือมีเรื่องอื่นให้คุยกันมากกว่าแค่เพียงราคาก็เป็นได้นะคะ

3. ธุรกิจที่เจาะกลุ่มเฉพาะ
กลุ่มเฉพาะยิ่งต้องมองให้ออกค่ะ ทั้งมีกำลังซื้อน้อย กำลังซื้อสูง ไม่คุ้มเลยถ้าเราจะใช้สื่อโฆษณาที่หว่านเกินไป จนทำให้เกิดความสูญเสียโดยไม่จำเป็น

4. ธุรกิจส่วนตัวที่ผู้ขายพูดไม่เก่ง
การให้ลูกค้านำสินค้าหรือบริการดีๆ ของเราไปบอกต่อนี่แหละค่ะ ที่จะช่วยปิดการขายให้ได้

5. ธุรกิจส่วนตัวของผู้ประกอบวิชาชีพ
เช่น แพทย์ อาจารย์ ธุรกิจเกี่ยวข้องกับศาสนา ถึงเราจะทำงานด้านนี้แต่เราก็อยากมีธุรกิจของเราที่สร้างรายได้ทางอื่นเช่นกัน การเลือกการตลาดแบบบอกต่อจะเป็นการเซฟตัวเราและอาชีพของเราค่ะ

6. ธุรกิจบริการที่ขีดจำกัดอยู่ที่พนักงาน
ที่มีความเชี่ยวชาญเฉพาะด้าน หากพนักงานลาออกหรือหยุดงาน ต้องหยุดให้บริการ

7. ธุรกิจ Start-up
ข้อนี้สำคัญมากค่ะ ยิ่งเจ้าของอายุน้อย ไม่มีประสบการณ์ด้วยแล้ว บวกกับเงินทุนน้อย ไม่มีฐานลูกค้า ฯลฯ การหันมามองการตลาดแบบบอกต่อถือเป็นตัวเลือกที่ดีสำหรับเจ้าของ Start-up เลยค่ะ

ดังนั้น การตลาดแบบบอกต่อ จึงถือเป็นหนึ่งเทคนิคดีๆ ที่ได้ผลตอบแทนสูงมากเมื่อเทียบกับค่าใช้จ่ายในการทำการตลาดแต่ละครั้ง