“อ่านไม่จบ บอกเลยว่าพลาด”
.
เมื่อเย็นวันศุกร์ที่ผ่านมา ขณะที่ผมกำลังขับรถกลับบ้าน ผมได้ฟัง Podcast : Mission to the Moon เรื่อง “อย่าปีนภูเขาครึ่งทาง” ซึ่งเป็นเรื่องราวของเศรษฐีหญิงที่ร่ำรวยที่สุด ในโลก นามว่า “Zhou Qunfei โจว ชุนเฟย” (ผู้ที่สร้างตัวเองขึ้นมาจากศูนย์ โดยไม่นับรวมกลุ่มที่ร่ำรวยจากการรับธุรกิจ หรือรับมรดกตกทอดมาจากบรรพบุรุษ)
.
โดยในปี 2018 เธอมีทรัพย์สินอยู่ถึง 7,400 ล้านเหรียญ USD (หรือประมาณ 244,000 ล้านบาท) เรื่องราวต่างๆ ในชีวิตของเธอ ตั้งแต่เริ่มต้นในครอบครัวที่ค่อนข้างลำบาก รวมถึงระหว่างทางที่เธอต้องสู้กับงานและชีวิตมาอย่างหนัก จนถึงวันที่เธอประสบความสำเร็จ…ผมคงไม่ขอพูดถึง เพราะสามารถหาข้อมูลได้จาก Internet อยู่แล้ว
.
สิ่งที่อยากแชร์วันนี้ ผมชอบตอนจบของ Podcast ที่บอกว่า “โจว ชุนเฟย” สร้าง Team Building หรือสร้างแรงกระตุ้นในการทำงานเพื่อให้ทีมประสบความสำเร็จ ได้แหวกแนว ไม่เหมือนใคร โดยการพาทีมผู้บริหาร ไปปีนเขา ซึ่งต้องเป็นเขาที่ยาก ไม่ใช่เขาง่ายๆ ต้องใช้เวลาปีนเขาด้วยกันอย่างน้อย 2-3 วัน ซึ่งผู้บริหารส่วนใหญ่ ที่ไม่เคยปีนเขายากๆแบบนี้มาก่อน มักจะยอมแพ้ระหว่างทาง และขอไม่ไปต่อจนถึงยอดเขา
.
แต่ โจว ชุนเฟย บอกว่า “ไม่ได้นะ เมื่อคุณยอมแพ้ที่กลางภูเขา คุณจะหมดทั้งกำลังกายและกำลังใจ ที่จะอยากลงไปที่ตีนเขา แล้วเริ่มใหม่เพื่อพิชิตยอดเขาให้สำเร็จในครั้งหน้า และถึงแม้คุณจะลองทำมันอีกครั้ง ส่วนใหญ่ก็จะยอมแพ้อีกครั้ง และอีกครั้งคุณก็จะไปไม่ถึงยอดเขาอยู่ดี ฉะนั้น สิ่งที่ควรทำคือ มุ่งมั่นที่จะไปต่อ อย่ายอมแพ้ให้กับอุปสรรค แล้วคุณจะไปถึงยอดเขาได้อย่างแน่นอน”
.
>>> เฮ้ยยยย…..ที่มันช่าง โดนผมมาก เพราะเป็นประสบการณ์ตรงของผมเลย เพราะเมื่อต้นปี 2020 ก่อน COVID-19 ระบาดหนักไปทั่วโลกเหมือนในปัจจุบัน ผมได้มีโอกาสไปปีนเขาลูกนึง ชื่อว่ายอดเขา “ฟานซีปัน” ตั้งอยู่ในเมือง ซาปา (ฉายา : เมืองในสายหมอก) ตั้งอยู่ที่ประเทศเวียดนามตอนบน ติดกับประเทศจีน โดยยอดเขา ฟานซีปัน มีระดับความสูงเหนือระดับน้ำทะเล 3,143m. แน่นอน ต้องใช้เวลา 2 วัน 1 คืนในการปีนเขาลูกนี้
.
ด้วยระยะทางประมาณ 9km. ที่ระดับความสูง 3,143m. บางช่วงอาจเป็นทางราบ แต่ส่วนมากคือทางชัน 50-70 องศา ที่ต้องเจอตลอดเส้นทาง บางครั้งต้องปีนสะพานลิง90องศา ตลอดช่วงการเดินทางมีทั้งฝนและลมแรงมาเป็นบททดสอบตลอดเวลา อุณหภูมิตอนกลางวันประมาณเลขตัวเดียวปลายๆ ส่วนตอนกลางคืนมีตั้งแต่ 0 องศาเซลเซียส ไปยันติดลบ (-4) ที่ยอดเขา มันจึงเป็นการปีนเขาที่ต้องนอนค้างแรมกันที่ Base Camp ครั้งแรกของผม ที่สำคัญ การปีนเขาครั้งนี้ ไม่เหมือนการปีนเขาแบบปกติ การปีนเขาครั้งนี้ ผมต้องไปกันเป็นกลุ่มกับเพื่อนๆ ที่เหมือนมีพรหมลิขิตร่วมกัน ถูกคัดเลือกให้มาอยู่กลุ่มเดียวกัน โดยที่มิได้รู้จักกันมาก่อน ซึ่งมีสมาชิกรวม ประมาณ 16 คน มีครบหมดทั้งผู้หญิง ผู้ชาย อายุไล่ตั้งแต่ 20++ ไปถึง 60++ และโจทย์คือเราจะไปเป็นทีม ทุกคนต้องไปด้วยกันและช่วยกันไปยังจุดสูงสุดของยอดเขาฟานซีปันให้ได้
.
โดยบทบาทของผมในครั้งนั้น คือรับบทรองหัวหน้าของกลุ่ม ที่ต้องอยู่คุมท้ายสุด โดยตัวผมเอง ตั้งใจตั้งแต่ก่อนเริ่มออกเดินทางไว้แล้วว่า ”I will be the last man standing. No body is left behind” : จะไม่มีใครถูกทิ้งไว้ข้างหลังเด็ดขาด” >>> นั่นคือหนึ่งในภาระกิจหลักของผม
.
และตลอดการเดินทางในทริปนี้ ผมก็ทำได้ตามที่ต้องการ จะมีแค่บางช่วงเวลา ที่มีพี่อีกคนนึง คอยช่วยสลับลงมาอยู่เป็นคนสุดท้าย ซึ่งผมไว้ใจ และมั่นใจว่าพี่ท่านนี้จะช่วยดูแลเพื่อนๆ สมาชิกได้ ผมก็จะเดินนำหน้าอยุ่ประมาณ 3-4 คน เป็นอย่างมาก….เพราะอย่างน้อยที่สุด ผมต้องยังมองเห็นคนสุดท้ายของกลุ่มเสมอ
.
แล้วเรื่องของผม มันเกี่ยวอะไรกับแนวคิด “อย่าปีนเขาเพียงครึ่งลูก” ของ โจว ชุนเฟย หละ ผมขอมาเล่าต่อใน ep ต่อไปนะครับ แต่บอกเลย เรื่องที่บอกว่า >>>> “อย่าปีนเขาเพียงแค่ครึ่งลูก” >>> มันเป็นแค่ครึ่งเรื่องของสิ่งที่เกิดขึ้นในชีวิตจริงเท่านั้น
.
>>> สิ่งที่ต้องทำในชีวิตจริง คือ “คุณอย่าปีนเขาแค่เพียงถึงยอดเขาเท่านั้น….แต่คุณต้องลงเขาให้ได้ ด้วยตัวเองเช่นกัน”
.
แล้วพบกันใน ep ถัดไป
.
“InvisibleLight…แสงที่มองไม่เห็น”