“อย่าปีนเขาเพียงแค่ครึ่งลูก….มันเป็นแค่ครึ่งเรื่องของสิ่งที่เกิดขึ้นในชีวิตจริงเท่านั้น”
.
สิ่งที่ต้องทำในชีวิตจริง คือ “คุณอย่าปีนเขาแค่เพียงถึงยอดเขาเท่านั้น….แต่คุณต้องลงเขาให้ได้ ด้วยตัวเองเช่นกัน”
.
>>> นี่คือสิ่งที่ผมทิ้งท้ายไว้ใน #ep1
หมายเหตุ : แนะนำอย่างยิ่ง ให้ย้อนไปอ่าน #ep1 ก่อนที่จะอ่านเรื่องราวที่เกิดขึ้นจริงๆ………ด้านล่างนี้ (https://www.facebook.com/bnienergythailand/photos/a.2316017878725251/3295099444150418/)
.
แล้วผมหมายความว่าอย่างไรหละ? ขอย้อนกลับไปในช่วงที่ผมได้ปีนเขาในช่วงต้นปี 2020 อีกครั้ง……ในตอนเดินขึ้นเขา “ฟานซีปัน” ช่วงต้นเดือนกุมภาพันธ์ อากาศค่อนข้างหนาว อุณหภูมิเลขตัวเดียวใกล้ศูนย์องศาในยามเช้ามืด และอุ่นขึ้นนิดหน่อยในยามบ่าย ในขณะที่พวกเราทั้งหมด เริ่ม trekking ขึ้นเขา ฟานซีปัน ไปเรื่อยๆ ทุกอย่างดูราบรื่นดี มีการร้องรำทำเพลงระหว่างทาง มีการเล่นมุกระหว่างทาง เพื่อช่วยให้ทั้ง 16 ชีวิตในทีม มีพลังงานในการก้าวต่อไป
.
ส่วนใหญ่ในทีม ดูมี Energy ที่พร้อมก้าวต่อไปอย่างไม่ลดละ…อย่างไรก็ตาม บางช่วงบางตอนของการ trekking ก็มีทั้งส่วนที่ไม่ยากนัก เดินได้เรื่อยๆ แต่ก็มีส่วนที่ยากและอันตรายอย่างมากเช่นกัน อาทิเช่น เนินจูลาสิค ที่เป็นแก่ง หิน ลึกและชันมาก, เนินแองเจลลีน่า ที่ด้านหลังคือเหว หากพลาดตกลงไป ไม่อยากคิดว่าจะเกิดอะไรขึ้น…..ทั้งนี้ ผมขอข้ามรายละเอียดเรื่องความยาก ง่ายในการ trekking ไปละกันครับ เพราะมีเรื่องราวอื่นๆที่น่าสนใจ และอยากแบ่งปันมากกว่า
.
โดยหลังจากที่ผมและเพื่อนในกลุ่มทั้งหมดได้ออกเดินทางจาก start point ที่ตีนเขาตั้งแต่ตี 5 ครึ่ง ในช่วงต้นๆ พลังงานยังเต็มเปี่ยม และยังคึกคักเต็มที่ เดินไป ยิ้มไป คุยไป สนุกสนานกันน่าดู แต่ก็มีหยุดพักดื่มน้ำบ้าง เป็นช่วงๆ….. ผ่านไปประมาณ 4-5 ชั่วโมง พวกเราทั้งหมดก็ได้พักทานอาหารเที่ยงเพิ่มพลังกันที่ lunch camp เป็นที่เรียบร้อย พวกเราก็ยืดเส้นยืดสาย และเริ่มเก็บของ เพื่อออกเดินทางต่อไปให้ยัง Base Camp ซึ่งจะเป็นที่นอนพักของพวกเราทุกคนในค่ำคืนนี้
.
ในขณะเริ่มเดินออกจาก lunch camp นั้นเอง ฝนก็ได้เริ่มตกลงมา บวกกับอากาศบนภูเขาที่ค่อนข้างหนาว….ฮืม มันช่างฟินและหนาวแบบบอกไม่ถูก แต่ก็ไม่มีปัญหาอะไรมาก พวกเราแค่หยิบชุดกันฝนออกมาใส่ป้องกันความเปียกปอน และฝนที่หนาวเหน็บ แล้วพวกเราก็มุ่งหน้าเดินขึ้นเขาต่อไป…..
.
ในขณะที่พึ่งเริ่มเดินขึ้นเนินเขาจาก lunch camp ไปเพียงไม่นานมาก “ผมเริ่มมีอาการตระคริวขึ้น” และยังคงต้องเดินต่ออีก 4-6 ชั่วโมง เพื่อไปถึง base camp” ไม่มีใครในทีมรู้เลย จะมีก็แต่เพียงผู้ช่วยประจำทีม ที่ขยันมาก วิ่งไปทุกจุดในกลุ่มของผม เดี๋ยวอยู่กับกลุ่มด้านหน้า สักพักอยู่ตรงกลาง นานๆทีมาอยู่โซนหลัง…..ซึ่งโชคดี ที่เค้าอยู่ใกล้ๆ ผม ณ.ช่วงเวลานั้นพอดี ผมได้บอกผู้ช่วยประจำกลุ่มเรื่องตระคริว….สักพัก ผู้ช่วยหยิบเกลือแร่เม็ด ให้ผม แล้วถามว่าผมไหวมั้ย….แน่นอน ในใจผมไหว แต่ก็ไม่อยากให้ใครรอ และใม่อยากเป็นภาระของทีม จึงบอกผู้ช่วยประจำกลุ่มไปว่า “ไปล่วงหน้าเลย และไม่ต้องรอผม เดี๋ยวผมตามไปเอง”
.
เนื่องจากผมอยู่คนสุดท้ายของกลุ่ม จึงไม่มีใครรู้เลยว่า ผมอยู่รั้งท้ายจากกลุ่มไกลขนาดไหน….ซึ่งน่าจะประมาณ 3-5 นาที (ทางเดินขึ้นเขา)….หลังจากที่เกลือแร่เข้มข้น เริ่มออกฤทธิ์ อาการตระคริวของผมเริ่มดีขึ้น ผมก็รีบเร่งสปีด เพื่อตามเพื่อนๆให้ทัน มีบางจังหวะ แซงทางโค้งกลุ่มอื่นๆบ้าง วิ่งแซงบ้าง…แล้วท้ายที่สุดก็ตามมาทันกลุ่มผมจนได้ …..ผมกับเพื่อนๆ ก็เดินกันต่อไปอีกราวๆ 1-2 ชั่วโมง ก็ถึงจุด break point พอดี….ซึ่งพวกเราทุกคนก็ได้หยุดพักให้คลายความเหนื่อยล้ากันบ้าง หยุดถ่ายรูป หยุดดื่มน้ำกัน แล้วอีกสักพัก พวกเราก็เริ่มเดินกันต่อ เพื่อไปยัง base camp ของพวกเรา
.
ระหว่างทางจาก break point ไป base camp ผมเริ่มมีอาการปวดหัวโดยไม่รู้สาเหตุ ไม่รู้ว่าปวดหัวจากอะไรกันแน่…. และเริ่มมีอาการคลื่นใส้ ไม่รู้ว่าเพราะนอนไม่พอ หรือเพราะสาเหตุอะไร….แต่ในตอนนั้นผมรุ้อย่างเดียวว่า ผมต้องไปให้ถึง base camp และผมจะไปด้วยขาของตัวเอง โดยจะไม่เป็นภาระใครเด็ดขาด และแน่นอนผมยังเดินรั้งท้ายสุด และไม่ได้บอกให้ใครรู้ถึงอาการที่ผมกำลังรู้สึกอยู่ในตอนนี้
.
มองไปที่เพื่อนๆในกลุ่ม ทั้งผู้หญิงและชายในวัย 50-60….และน้องผู้หญิงวัยรุ่นในวัย20กว่าๆ…..ทุกคนยังมีพลังงานที่ดี ถึงจะมีอ่อนเพลีย และเมื่อยล้ากันบ้าง แต่ทุกคนก็ยังสู้ แล้วก้าวต่อไปอย่างไม่ย่อท้อ……. ผมเดินต่อไปอีกประมาณ 2-3 ชั่วโมง ผ่านการขึ้นๆ ลงๆ เนินหลายลูกจนจำไม่ได้….แต่เอาเป็นว่า เหนื่อยใช่เล่นเหมือนกัน มีทั้งปีนขึ้นหินผา และปีนลงเนินชัน ซึ่งผมก็มองว่า “มันก็ดีนะ ได้ก้าวข้ามขีดจำกัดของตัวเองเหมือนกัน เพราะถ้าให้มาปีนคนเดียว ผมอาจะไม่มั่นใจว่าจะผ่านไปได้ ในแต่ละสเต๊ป แต่ละก้าว ตามจุดที่ยากๆ … ทั้งหินฝา ทั้งทางชัน ต่างๆมากมาย….แต่พอผมเห็นคนข้างหน้า บางคนอายุปาเข้าไป 60+ ทั้งหญิงและชาย ยังทำได้ …. แล้วทำไม เราจะทำไม่ได้หละ !!! ….ความมั่นใจมันมาเองโดยไม่รู้ตัวจริงๆ…..และในขณะเดียวกัน หากมาเดินคนเดียวคงเปล่าเปลี่ยวเหงาหงอยจนไม่รู้ เหมือนกันว่า จะไปได้ไกลขนาดไหน…..ผมโชคดีจริงๆ ที่ได้มา trekking + hiking กับกลุ่มเพื่อนๆ ต่างเพศ ต่างวัย ที่มีพลังงานดีๆ ด้วยกันแบบนี้”
.
เมื่อผม กับเพื่อนๆ ในกลุ่มเดินไปเรื่อยๆ อย่างไม่ย่อท้อ….ท้ายที่สุด ผมและทีม ก็ถึง base camp จนได้ น่าจะประมาณ (4.00pm) ได้ละ พวกเราแยกย้ายกันเอาของเก็บในที่พัก แยกชาย หญิงชัดเจน …..พอผมได้เห็นที่พักในคืนนี้ มันช่างรู้สึกดีแบบบอกไม่ถูก(ไม่ได้ประชดนะ…พูดจริง) รู้สึกนี่แหละชีวิตในธรรมชาติ ….. เต้นท์ชั่วคราวขนาดใหญ่ รองรับคนได้ไม่ต่ำกว่า 30 คน โดยมีผ้าใบกางป้องกันฝน และน้ำค้างในยามค่ำคืน รวมทั้งยังช่วยป้องกันลมที่หนาวเหน็บแบบอุณหภูมิเลขตัวเดียวต้นๆ…. ในขณะเดียวกันที่พื้นเต้นท์ ก็มีผ้ายางกันเปื้อนวางบนพื้นดินให้เฉยๆ โชคดีที่ยังมีถุงนอนให้เราได้ห่มนอนกันหนาวในยามค่ำคืน และที่สำคัญพวกเรา นอนเรียงกันเป็นแพติดกันยาว….มันช่างเบียดเสียด แต่อบอุ่นจริงๆ 555”
.
เก็บของในเต้นท์เสร็จแล้ว ก็ถึงเวลาอาหารเย็น โดยอาหารเย็นในวันนั้น ผมกินข้าวได้น้อยมาก เพราะอาการปวดหัว และคลื่นไส้ยังมีมาตลอดทาง และมากขึ้นเรื่อยๆอีกด้วย ตอนนั้นผมเริ่มรู้สึก ไข้ขึ้น มีอาการร้อนๆ หนาวๆ แบบแปลกๆ…. ผมได้แต่พยายยามฝืนกินให้มากที่สุดเท่าที่ไหว เพื่อให้ร่างกายได้พลังงานเข้าไปเพิ่มเติมบ้าง ไม่งั้นผมคงต้องน๊อกแน่ๆ แต่ก็ฝืนกินเข้าไปได้นิดเดียว ก็ไม่ไหวละครับ มันจะอ้วกให้ได้….หลังจากกินข้าวเย็นเสร็จ สิ่งทีผมต้องรีบทำคือ รีบกินยาแก้ไข้ และแก้แพ้ต่างๆ แล้วจะรีบนอนให้เร็วที่สุด เพราะผมตั้งใจอย่างมาก ว่ามาคราวนี้ผมไม่ได้มาเล่นๆ เราต้องพิชิตยอดเขานี้ให้ได้ด้วยตัวเราเอง ไม่ยอมแพ้เด็ดขาด >> ลืมเล่าไปว่า ระหว่างทาง ถ้าผู้คุมทริปนี้พิจารณาแล้ว ว่าใครไปต่อไม่ไหว ไม่ว่าจะเหนื่อยหรือเจ็บป่วย เค้าจะแจ้งบุคคลนั้น และให้ทีมงานพาลงทันทีโดยไม่มีข้อโต้แย้ง เพื่อความปลอดภัยของทุกชีวิต และไม่ทำให้ทุกคนที่เหลือ ต้องรอคนเพียงคนเดียวนานเกินไป…ซึ่งระหว่างทาง ผมก็เห็นมีโดนไป 1-2 คนเป็นที่เรียบร้อย….และแน่นอน ผมต้องไม่ใช่ 1 ในนั้นเด็ดขาด
.
ผมไม่รู้จริงๆ ว่าตัวเองเป็นอะไร…จะแพ้อาหารก็ไม่ชัวร์ หรือจะติดเชื้ออย่างอื่นก็ไม่รู้….. โชคดีได้ นอนข้างหมอ ซึ่งเป็นเพื่อนร่วมทีมของผมนี่แหละ ผมเลยกล้ากินยาแก้แพ้ + ยาแก้ติดเชื้อแบบแรงๆ พร้อมกัน2 เม็ด โดยก่อนนอนผมหันไปบอกหมอว่า “หมอ…ดูแลผมด้วยนะ” ซึ่งหมอก็น่ารัก….หันมาบอกผมว่า “เออ ไม่เป็นไรหรอก กินแล้วนอนซะ”)……ไม่นานนัก ยาก็ออกฤทธิ์ ประมาณ (6.15-6.30pm) ผมก็หมดสติ และหลับสนิทยาวเลย…..แต่ช่วงก่อนที่ผมจะจำอะไรไม่ได้และกำลังจะหลับลึก >>> ผมคุยกับตัวเอง (ถ้าทางวิชาการ ต้องบอกว่าผมคุยกับ “Unconscious Mind หรือจิตใต้สำนึก” ของตัวเองว่า “OK…พักผ่อนนะ เราเยียวยารักษาตัวเอง ถ้าผมใช้ร่างกายนี้หนักไป ขอโทษด้วยนะ ให้อภัยผมด้วยนะ…..ผมรู้ ถ้าเราทำด้วยกัน เราทำได้แน่นอน หลังจากลืมตาตื่น เราจะไปต่อด้วยกัน ไปถึงยอดเขาให้ได้… พรุ่งนี้ เราจะไปดูพระอาทิตย์ขึ้นพร้อมกันบนยอด Summit”
.
เวลาประมาณ (00.00-00.15am)….ผมเริ่มได้ยินเสียงคนเก็บของ เสียงคนเริ่มคุยกันอีกครั้ง..ใช่ละครับ ทุกคนกำลังตื่นนอน และเริ่มเก็บของ เพื่อเตรียมตัวและเดินเคลื่อนขบวนขึ้นไปยังยอดเขา Fansipan….ผมตื่นขึ้นมาแบบงัวเงียเล็กน้อย เพราะเหมือนฤทธิ์ยาค่อนข้างแรง แต่โชคดีตื่นมารอบนี้อาการคลื่นไส้ต่างๆ หายไปหมดแล้ว (บอกเลย มหัศจรรย์มาก จากที่อยากอ้วกทุกสิ่งอย่างออกมา กลับกลายเป็นฟื้นคืนสติ พลังกายและพลังใจกลับมาได้ทั้งหมด….ต้องขอบคุณทั้งร่างกายและจิตใจของผม ที่สู้และพร้อมจะไปต่อด้วยกันจริงๆ….สุดยอด!)
.
หลังจากงัวเงีย และรู้สึก happy กับอาการที่ดีขึ้นอยู่สัก 1-2 นาที…..สิ่งที่ร่างกายผมบอกผมอย่างแรกหลังลืมตาตื่น คือ ผมหิวข้าวมาก ตื่นปุ๊บท้องร้องเลยครับ คงเป็นเพราะเมื่อวานตอนเย็น กินข้าวได้น้อยมาก… อีกไม่นานเกินรอ ผมได้ มาม่าร้อนๆ + ไข่ต้มและผักต้มมา 1 ชาม….โชคดีที่แฟนผมเตรียม “ปลาหมึกแห้ง” ให้ติดตัวนิดหน่อย เลยหยิบออกมาผสมกับมาม่า และแบ่งให้เพื่อนๆ ที่อยู่ใกล้ๆกัน….ผนวกกับพี่คนที่นอนใกล้ๆกัน มี ”เนื้อควายแดดเดียว” ที่ซื้อมาจากเมือง Sapa มาผสมในมาม่าร้อนๆ ในอุณหภูมิเลขตัวเดียวบนภูเขา เป็นอาหารยามเช้าในเต้นท์ที่แสนอร่อย และมีความสุขที่สุดมื้อนึงในชีวิต

.
เมื่อเวลาล่วงไป ประมาณตี 1 พวกเราทุกคนก็ไปที่จุด รวมตัว…..เพราะอีกประมาณ 15 นาทีหลังจากนี้ ผมและเพื่อนสมาชิกทุกคนที่ยังไปต่อไหว ต้องเริ่มเดินอีกครั้ง เพื่อไปยังยอดเขาฟานซีปัน ที่เป็นยอดเขาที่สูงที่สุดในอินโดจีน และเมื่อเวลา 1.30am. พวกเราทุกคน ก็ได้รับสัญญาณให้เริ่มเดินกันได้อีกครั้ง
.
หลังจากเริ่มเดินไปในความมืดสักพัก เพื่อนๆผมบางคนเริ่มร้องเพลง ปลุกพลังให้กันและกัน ช่วย support กันและกันระหว่างเดินทางในความมืดตลอดเวลา มีเพียงไฟฉายที่ติดบริเวณหน้าผากให้เราได้เห็นทาง พร้อมอากาศที่ค่อนข้างหนาว อุณหภูมิเลขตัวเดียวพร้อมลมแรงตลอดการเดินทาง แต่เพราะพวกเราทุกคน ต้องเดินตลอดเวลา พร้อมแบกเป้ที่หลังอย่างน้อย 4-6kg. เลยทำให้ความร้อนแผ่ออกมาจากร่างกายตลอดเวลา พวกเราจึงไม่ได้รู้สึกหนาวมากจนเกินไป… ระหว่างทางมีทั้งทางขึ้นเขา และลงเขา หลายครั้งมาก และแต่ละละลูกก็ไม่ใช่เล็กๆเลย….โชคดีที่ได้นอนมาเต็มอิ่ม ไม่งั้นตระคริวคงได้ถามหาอีกครั้ง
.
ผมกับเพื่อนๆ trekking กันมาตั้งแต่ 1.30am. ซึ่งน่าจะผ่านไปประมาณ 2 ชั่วโมงได้แล้ว ตอนนี้ประมาณ 3.30am. ในความมืดมิด อากาศก็หนาวมากเหมือนเดิม ทุกคนก็ยังเดินต่อเรื่อยๆ …โชคดี ที่คนในทีมผมทุกคน ยังมีพลังงานบวกตลอดทาง และทุกคนยังอยู่ครบพร้อมไปต่อ และยังช่วยดึงกันและกันตลอด…ร้องเพลงไป เพิ่มพลังไป…”ฮืม ผมยังจำความรู้สึกนั้นได้อยู่เลย…..OK มากจริงๆ….ขอบคุณทุกคนนะ ที่ทำให้ผมได้นึกถึงเวลานั้น และอมยิ้มไปกับมันอีกครั้ง”
.
การเดินในยามค่ำคืนผ่านไปอย่างรวดเร็ว ระหว่างทางมีฝนตกปรอยๆ บ้าง แต่ก็ไม่หนักมาก เป็นประสบการณ์ที่ใหม่มากสำหรับผม เดินป่ากลางคืน อุณหภูมิเลขตัวเดียวใกล้ 0 องศา และมีฝนปรอยๆบางช่วง ผมและเพื่อนๆ เดินกันมาเรื่อยๆ จนมารู้ตัวอีกที ผ่านไปแล้วประมาณ เกือบ 4 ชั่วโมง ตอนนี้เวลาประมาณ 5.00am. ผมและเพื่อน trekking ไปถึงบริเวณ Cable Car Station (สถานีกระเช้าไฟฟ้า) ซึ่งเป็นอาคาร สำหรับคนที่เดินทาง ด้วยกระเช้าไฟฟ้า ทั้งขึ้น และลง …..ไม่ต้องยากลำบากเดินขึ้นมาตั้งแต่ตีนเขา เหมือนพวกผม ที่นี่พวกเราได้แวะนั่งพัก ดื่มน้ำ ยืดเส้นยืดสาย เข้าห้องน้ำกันสักพัก…ก่อนที่จะเหลืออีกเพียงประมาณ 45-60 นาที ที่พวกเราจะขึ้นไปถึงยอด Summit
.
Let’s go !!!…..เสียงปล่อยตัวให้ออกเดินทางอีกครั้งสำหรับโค้งสุดท้าย ก่อนที่จะขึ้น Summit ผมกับเพื่อนๆ เรามาถึงจุดนี้แล้ว….พอเงยหน้าขึ้นไป…..พวกเรามองเห็น ธงชาติเวียดนามโบกสะบัดด้วยแรงลมอยู่ใกลๆ ณ.จุดสูงสุดของยอดเขา “ฟานซิปัน”….เอาหละสิ แรงฮึดมาสิครับ …..พวกเราค่อยๆ เดินขึ้นไปเรื่อยๆ โดยช่วงสุดท้าย จะมีบันไดเยอะ และชันมาก….พวกเราก็ค่อยๆ เดินขึ้นไปเรื่อยๆ….เดินขึ้นไปเรื่อยๆ….บางช่วง บางตอน ก็มีเหนื่อย และพักบ้าง ซึ่งก็เป็นเรื่องปกติ แต่เราก็ Keep Walking ขึ้นไปเรื่อยๆ และเรื่อยๆ……จนผมเริ่มได้ยินเสียงคน “โห่ ร้องยินดีอยู่ด้านหน้า” ใช่ละครับ ผมและเพื่อนๆ กำลังจะถึง Fansipan Summit กันแล้วในอีก ไม่กี่นานทีข้างหน้า
.
เสียงโห่ร้องชัดขึ้นเรื่อยๆ…..ผมและเพื่อนๆก็ค่อยๆ เดินขึ้น เดินขึ้น และเดินขึ้นไป…..ในที่สุด ยอดสามเหลี่ยม ที่เขียนว่า Fansipan : 3,143 m. ก็มาปรากฎอยู่เบื้องหน้าผม จนได้…..มันเป็นความรู้สึกที่ดีใจแบบบอกไม่ถูก แบบว่า “เอาเว้ย….ทำได้ตามที่ตั้งใจแล้ว” และผมก็เริ่มเก็บรูป และบรรยากาศต่างๆ เพื่อเติมเต็มความทรงจำของผมไปเรื่อยๆ จนกระทั้งได้มีการถ่ายรูปหมู่ของกลุ่มทั้ง 16 ชีวิตร่วมกัน……หัวหน้ากลุ่มของผม Dr.รุ่นน้อง เพศหญิง ผู้แข็งแกร่ง และพลังงานสูงมากกกกกของพวกเราทุกคน ก็ได้เป็นผู้นำกล่าวปลุกใจ ขอบคุณทุกคน รวมทั้งให้กำลังใจต่างๆนาๆ ซึ่งก่อให้เกิดควาทรงจำดีๆ ต่างๆมากมาย กับผม และเพื่อนๆอย่างมาก…น้ำตาแห่งความปิติไหลออกมาโดยไม่รู้ตัว….สิ่งที่สำคัญและประทับใจผมมากไม่ใช่แค่การมาถึง Summit ได้เท่านั้น….แต่สิ่งที่ผมรู้สึกประทับใจมาก คือ การที่พวกเราทุกคนช่วยกัน Cheer up ให้กำลังใจกันและกัน, ช่วยกัน support กันและกันตลอดเส้นทางตั้งแต่จุด start มาถึง summit, ช่วยกันส่งพลังงานดีๆ ให้กันตลอดการเดินทาง….และที่สำคัญ พวกเราช่วยเหลือกันแบบ จริงใจและห่วงใยกันแบบ 100% เสมือนคู่รัก 16 ชีวิตที่ต้องช่วยกันให้ถึงยอดเขาให้ได้…..และท้ายที่สุด ผมและเพื่อนๆ ทุกคนก็ทำได้สำเร็จตามที่ตั้งใจใว้ครับ….”Yes, We did it”
.
อย่างไรก็ตาม การมาถึง Summit ในการปีนเขาอาจเป็นจุดที่สูงสุด และถือว่าประสบความสำเร็จแล้ว…แต่ในชีวิตจริง มันเป็นเพียงแค่ครึ่งเรื่องของชีวิตเท่านั้น…..ยังมีเรื่องราวต่างๆ อีกมากมายที่รอพวกเราอยู่ในระหว่างทาง ที่ต้องเดินลงเขาอีกเยอะ…บทสรุป & แนวคิดที่มีค่า ซึ่งได้จากการปีนเขา….คงต้องขอมาเล่าต่อใน ep.ถัดไป ซึ่งขอบอกเลยว่า
.
“ใครบอกว่าขึ้นเขายากสุด…สำหรับบางคน การลงเขายากและลำบากกว่าหลายเท่านัก…แล้วทำไมเราต้องลงด้วยตัวเองหละ มีความสำคัญอย่างไร” ติดตามได้ใน ep ภาคจบของการลงเขา Fansipan อีกครั้ง….เร็วๆนี้

#InvisibleLight #แสงที่มองไม่เห็น
#ep2